วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

กาบอง

สาธารณรัฐกาบอง
République Gabonaise (ฝรั่งเศส)
ธงชาติ
เพลงชาติLa Concorde
เมืองหลวง
(และเมืองใหญ่สุด)
ลีเบรอวิล
0°23′N 9°27′E
ภาษาทางการภาษาฝรั่งเศส
การปกครองสาธารณรัฐ
 - ประธานาธิบดีอะลี บองโก ออนดิมบา
 - นายกรัฐมนตรีปอล บียอเก อึมบา
เอกราช
 - จาก ฝรั่งเศส17 กันยายน พ.ศ. 2503 
พื้นที่
 - รวม267,668 ตร.กม. (76)
103,347 ตร.ไมล์ 
 - แหล่งน้ำ (%)น้อยมาก
ประชากร
 - ก.ค. 2548 (ประเมิน)1,384,000 (150)
 - ความหนาแน่น5.2 คน/ตร.กม. (216)
13.5 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ)2548 (ประมาณ)
 - รวม9.621 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (136)
 - ต่อหัว7,055 ดอลลาร์สหรัฐ (89)
HDI (2550)0.755 (กลาง) (103)
สกุลเงินฟรังก์ซีเอฟเอ (XAF)
เขตเวลาWAT (UTC+1)
 - (DST)ไม่มี (UTC+1)
โดเมนบนสุด.ga
รหัสโทรศัพท์241

สาธารณรัฐกาบอง หรือกาบอง เป็นประเทศในตอนกลางของภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกามีพรมแดนติดกับอิเควทอเรียลกินีแคเมอรูนสาธารณรัฐคองโกและอ่าวกินี กาบองปกครองโดยประธานาธิบดีที่สถาปนาตนเองขึ้นสู่อำนาจนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อวันที่17 สิงหาคม พ.ศ. 2503 กาบองได้นำระบบหลายพรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญใหม่มาใช้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ที่ทำให้เกิดกระบวนการการเลือกตั้งที่โปร่งใสยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดการปฏิรูปสถาบันต่าง ๆ ของรัฐ กาบองมีจำนวนประชากรไม่มาก แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนเอกชนต่างชาติ ทำให้กาบองกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคนี้

ที่ตั้ง
ตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกที่เส้นอิเควเตอร์ ระหว่างประเทศสาธารณรัฐคองโกและประเทศอิควอเรียลกินี

พื้นที่ 267,667 ตารางกิโลเมตร พื้นดิน 257, 667 ตารางกิโลเมตร พื้นน้ำ 10,000 ตารางกิโลเมตร

อาณาเขตพรมแดนยาวทั้งสิ้น 2,551 กิโลเมตร 
ทิศเหนือติดกับอิเควทอเรียลกินี (350 กิโลเมตร) และแคเมอรูน (298 กิโลเมตร)
ทิศตะวันออกและ ทิศใต้ติดกับสาธารณรัฐคองโก (1,903 กิโลเมตร) 
ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ความยาวชายฝั่ง 885 กิโลเมตร

สภาพภูมิประเทศ
บริเวณชายฝั่งเป็นมีลักษณะเป็นที่ราบแคบๆ ภายในประเทศมีลักษณะเป็นภูเขา ทางทิศตะวันออกและทิศใต้มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา

สภาพภูมิอากาศ
อากาศร้อนชื้นแถบเส้นศูนย์สูตร อุณหภูมิสูงและฝนตกชุก มีฤดูแล้งยาวนานตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกันยายน หลังจากนั้นเป็นฤดูฝนช่วงสั้น ๆ และจะเป็นฤดูแล้งอีกครั้งตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นฤดูฝนอีกครั้งฝนตกโดยเฉลี่ยประมาณ 2,510 มิลลิเมตรต่อปี

ทรัพยากรธรรมชาติ ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ เพชร ไนโอเบียม (niobium) แมงกานีส ยูเรเนียมทองคำ ไม้ แร่เหล็ก และพลังงานน้ำ

จำนวนประชากร 1.48 ล้านคน (ค่าประมาณ เดือนกรกฏคมคม พ.ศ. 2551)

สัญชาติ Gabonese

ศาสนา ประชากร 55% ถึง 75% นับถือศาสนาคริสต์ ประชากรที่เหลือส่วนใหญ่นับถือความเชื่อดั้งเดิม และมีผู้นับถือศาสนาอิสลาม น้อยกว่า 1%

ภาษา ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ และมีภาษาถิ่นอื่น ๆ ที่สำคัญ คือ Fang Myene Bateke Bapounou Eshira และ Bandjabi


สถานที่ท่องเที่ยว

"น้ำตกคองโก" หรือ "น้ำตกคองกู" (Kongou Falls) คือ หนึ่งในน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติอิวินโด (Ivindo National Park) เป็นน้ำตกที่ได้รับการยอมรับว่าสูงที่สุดในประเทศกาบอง และยังเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในแอฟริกากลาง อีกหนึ่งทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้ง ในและต่างประเทศที่มีโอกาสมาเยือนอุทยานแห่งชาติอิวินโด

นอกจากนี้แล้ว น้ำตกคองโก เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำอิวินโด (Ivindo River) โดยน้ำตกมีความสูงประมาณ 56 เมตร ซึ่งติดอันดับที่ 928 ของน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยน้ำตกแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามที่สุดในภาคกลางของแอฟริกาอีกด้วย

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

ฮังการี

ฮังการี (อังกฤษHungaryฮังการีMagyarország) เป็นประเทศในภูมิภาคยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตจรดประเทศออสเตรีย สโลวาเกีย ยูเครน โรมาเนีย เซอร์เบีย โครเอเชีย และสโลวีเนีย ในท้องถิ่นเป็นที่รู้จักว่า "ประเทศของชาวแมกยาร์" (Country of the Magyars)




ธงชาติประเทศฮังการี


ตราแผ่นดินประเทศฮังการี



แผนที่ประเทศฮังการี


แบ่งเป็น 19 เทศมณฑล (megye) โดยในแต่ละเทศมณฑลก็จะมีเมืองหลัก (főváros) ได้แก่
  • Pest megye มีเมืองหลักคือ Budapest ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศด้วย ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ด้านเหนือจรดสโลวาเกีย
  • Baranya megye มีเมืองหลัก คือ Pécs เป็นเมืองที่ถูกรับเลือกให้เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ด้านใต้จรดโครเอเชีย
  • Bács-Kiskun megye มีเมืองหลักคือ Kecskemét ตั้งอยู่ทางที่ราบตอนกลางของประเทศ มีที่ราบที่ถูกเรียกว่า The puszta รวมอยู่ด้วย
  • Békés megye มีเมืองหลัก คือ Békéscsaba ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีชายแดนจรดโรมาเนีย
  • Borsod-Abaúj-Zemplén megye มีเมืองหลักคือ Miskolc เป็นเมืองที่มีเทือกเขาสูงและมีทรัพยากรป่าไม้อยู่มาก อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ จรดสโลวาเกีย
  • Csongrád megye มีเมืองหลัก คือ Szeged ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของ Halászlé (ซุปปลาแบบฮังการี ใส่ปาปริกา) อยู่ทางใต้สุดตรงกลาง มีชายแดนจรดเซอร์เบีย
  • Fejér megye มีเมืองหลักคือ Székesfehérvár มีทะเลสาบเล็ก ๆ ชื่อ Velence ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงของประเทศ
  • Győr-Moson-Sopron megye มีเมืองหลักคือ Győr แต่มีเมืองเล็ก ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งชาวฮังการีและชาวออสเตรียอยู่ คือ เมือง Sopron ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และมีชายแดนติดกับออสเตรีย
  • Hajdú-Bihar megye มีเมืองหลักคือ Debrecen
  • Heves megye มีเมืองหลักคือ Eger
  • Jász-Nagykun-Szolnok megye มีเมืองหลักคือ Szolnok
  • Komárom-Esztergom megye มีเมืองหลักคือ Tata
  • Nógrád megye มีเมืองหลักคือ Salgotarján
  • Somogy megye มีเมืองหลักคือ Kaposvár
  • Szabolcs-Szatmár-Bereg megye มีเมืองหลักคือ Nyíregyháza
  • Tolna megye มีเมืองหลักคือ Szekszárd
  • Vas megye มีเมืองหลักคือ Szombathely
  • Veszprém megye มีเมืองหลักคือ Veszprém
  • Zala megye มีเมืองหลักคือ Zalaegerszeg


ภูมิศาสตร์ฮังการีตั้งอยู่กลางทวีปยุโรปแถบที่ราบเทือกเขาคาร์เปเทียน (Carpathian Basin) มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 7 ประเทศ คือ ออสเตรีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย โครเอเชีย และสโลวีเนีย รูปร่างประเทศฮังการีคล้ายรูปไต มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 93,000 ตารางกิโลเมตร
ภูมิประเทศแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
  1. The Great Plain (Nagyalföld) เป็นที่ราบต่ำทางตะวันออกและตอนกลาง
  2. The Little Plain เป็นที่ราบขนาดเล็กทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีแนวเทือกเขาที่สูงที่สุด ชื่อว่า Kékes tető (สูง 1,015 เมตร)
  3. Transdanubia เนินเขา สลับกับที่ราบสูง ๆ ต่ำทางตะวันและ
ตะวันตกฉียงใต้
ฮังการีมีแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำดานูบและแม่น้ำทิสซา แม่น้ำทั้งสองสายแบ่งประเทศออกเป็น 3 ส่วน และยังมี แม่น้ำดราวา เป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนระหว่างฮังการีกับโครเอเชียทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
ฮังการีมีทะเลสาบหลายแห่ง แต่ทะเลสาบที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุด คือ ทะเลสาบบาลาโตน (Balaton)
พื้นทีส่วนใหญ่ของฮังการี ประมาณ 70%ทำการเกษตร ส่วนพื้นที่เหลือ เป็นป่าทึบ ได้แก่ ป่าโอ๊ก และ ป่าบีช สัตว์ท้องถิ่นที่พบทั่วไป เช่น กระต่ายป่า กวาง หมี นาก สัตว์ป่าหายาก เช่นแมวป่า ค้างคาวทะเล สัตว์พื้นเมืองที่มีมากที่สุด คือ นกชนิดต่างๆ โดยเฉพาะนกน้ำที่ชอบพื้นที่ชื้นแฉะแถบที่ลุ่มตามทะเลสาบ ฮังการี มี ป่าสงวน 5 แห่งและมีการประกาศ เขตคุ้มครองกว่า 100 แห่ง

เศรษฐกิจ

ฮังการีเพิ่งเปิดประเทศเป็นประเทศเสรีนิยมหลังการล่มสลายของระบบการปกครองระบบคอมมิวนิสต์ในประเทศ เศรษฐกิจโดยรวมจึงยังคงอยู่ในสภาพยากจน ขณะที่ฮังการีกำลังเร่งปรับปรุงการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
ฮังการีมีทรัพยากรธรรมชาติน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างโปแลนด์และสโลวาเกีย ฮังการีมีอัตราคนว่างงานประมาณร้อยละ 9 และอัตราเงินเฟ้อกว่าร้อยละ 10 ฮังการีพยายามทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง แต่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากประชาชนเพื่งได้รับเสรีในการใช้จ่าย มีความต้องการในการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าตามกระแสวัตถุนิยมตามแบบในประเทศแถบยุโรปอื่น ๆ ค่อนข้างสูง
เศรษฐกิจของฮังการีเติบโตได้เนื่องจากสินค้าออกและการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ภายในประเทศ หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ค.ศ. 1989 ฮังการีมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจเร็วกว่าหลายประเทศในแถบยุโรป


กิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในฮังการี เช่น
นครบูดาเปสต์
        นครบูดาเปสต์ เป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการีและ เป็นศูนย์กลางของประเทศที่มีอาณาเขตครอบคลุมทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำดานูบ เมืองทางฝั่งขวา ได้แก่ เมืองบูดา (Buda) และโอบูดา (Óbuda หรือ โอลด์บูดา Old Buda ส่วนทางซ้าย (ฝั่งตะวันออก) เป็นเมืองเปสต์ (Pest)

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)


มหาวิหารแมททิอัส
        มหาวิหารแมททิอัส (MATTHIAS CHURCH) เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มีอายุกว่า 700 ปี ซึ่งมีความสวยงามด้วยหลังคาสลับสีแบบสถาปัตยกรรมนีโอ-โกธิค ด้านในประดับประดาไปด้วยภาพเขียนสี และกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา ด้านนอกมีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าสตีเฟ่นที่ 1 เป็นอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าผลงานประติมากรรมที่งดงามของศตวรรษที่ 11

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)


ป้อมชาวประมง
        ป้อมชาวประมง (Fishermen's สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1905 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานไว้รำลึกถึงความกล้าหาญของชาวประมงผู้เสียสละชีวิตปกป้องบ้านเมือง ในคราวที่ถูกพวกมองโกลเข้ามารุกราน เมื่อปี 1241 - 1242 โดยที่นี่นับเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะสามารถชมความงามของแม่น้ำดานูบ สะพานเชน และอาคารรัฐสภาฮังการีริมแม่น้ำดานูบ

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)


สะพานเชน
        สะพานเชน (Chain Bridge) สะพานถาวรแห่งแรกที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำดานูบ สร้างโดยวิศวกรชาวอังกฤชื่อ William Tierney Clark มีรูปปั้นแกะสลักสิงห์โตที่สะพาน เป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นสัญลักษณ์ของบูดาเปสท์

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)


ฮีโร่สแควร์ 
        ฮีโร่สแควร์ (Hero Square) เป็นลานโล่งกว้างขนาดใหญ่ ที่มีอนุสาวรีย์แห่งสหัสวรรษ (Millennium Memorial) ตั้งอยู่กลางลาน ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการก่อตั้งอาณาจักรฮังการีครบรอบหนึ่งพันปี มีเสาสูงเป็นที่ตั้งของรูปหล่อเทวทูตกาเบรียล รอบเสาสูงเป็นที่ตั้งของรูปหล่อผู้นำของชนเผ่าทั้ง 7 ที่ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักรฮังการีขึ้นเมื่อคริสตศวรรษที่ 9

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)


มหาวิหารเซนต์สตีเฟน
        มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St.Stephen Basilica) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1851 แต่เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ.1905 (ใช้เวลา 54 ปีในการก่อสร้าง) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เซนต์สตีเฟน กษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชอาณาจักรฮังการี  ภายในมหาวิหารสวยงามอลังการและมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)

อาคารรัฐสภาฮังการี
        อาคารรัฐสภาฮังการี (Hungary Parliament) ถือป็นสัญลักษณ์ของประเทศฮังการี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบบนฝั่งเปสต์ เป็นอาคารรัฐสภาที่สวยที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิค เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1885 และใช้เวลากว่า 20 ปีจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยรูปแบบอาคารได้รับอิทธิพลมาจากอาคารรัฐสภาแห่งลอนดอน สหราอาณาจักร
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศฮังการี (Hungary)

อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5
http://www.dek-d.com/content/studyabroad/28765/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5-Hungary.php



วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

โครเอเชีย


โครเอเชีย (Croatia;Hrvatska) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐโครเอเชีย (Republic of Croatia;Republika Hrvatska) เป็นประเทศรูปเสี้ยววงเดือนในยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลาง และบอลข่าน เมืองหลวงชื่อซาเกร็บ ในประวัติศาสตร์ปัจจุบัน โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534 และได้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอนาคต
ชาวโครเอเชียลงประชามติรับรองการเข้าเป็นสมาชิก EU ซึ่งจะมีผลในกลางปี 2013 และเป็นสมาชิกลำดับที่ 28

ธงชาติโครเอเชีย
ตราประจำชาติโครเอเชีย
แผนที่ประเทศโครเอเชีย

ข้อมูลทั่วไป

สาธารณรัฐโครเอเชีย 
ข้อมูลทั่วไป 
ที่ตั้ง อยู่ระหว่างยุโรปกลางและเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณริมฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติก
พื้นที่ ๕๖,๕๔๒ ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงซาเกร็บ (Zagreb)
ประชากร ๔.๕ ล้านคน ประกอบด้วยชาวโครอัท (๘๙.๖%) ชาวเซิร์บ (๔.๕๔%) และอื่นๆ ได้แก่ ชาวบอสเนีย ฮังกาเรียน สโลวีน เช็ก (๕.๙%)
ภูมิอากาศ แบบเมดิเตอร์เรเนียนแถบชายฝั่งทะเลเอเดรียติกและ
ภูมิอากาศแบบเทือกเขาบริเวณตอนกลางของประเทศอุณหภูมิโดยเฉลี่ย ๑๔-๒๗ องศาเซลเซียส
ภาษา โครเอเชียนเป็นภาษาราชการ ภาษาอื่นๆ ที่ใช้พูดกันโดยชนกลุ่มน้อยได้แก่ เซอร์เบียน ฮังกาเรียน อิตาเลียน เยอรมัน อังกฤษ
ศาสนา โรมันคาทอลิก ๘๕.๘% ออโธด็อกซ์ ๓.๒% มุสลิม ๑๑%
หน่วยเงินตรา คูน่า (Kuna) อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ ๔.๖๖ คูน่า
เท่ากับประมาณ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ๖๐.๖๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (๒๕๕๑)
รายได้ประชาชาติต่อหัว ๑๓ม๔๗๗ ดอลลาร์สหรัฐ (๒๕๕๑)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ ๒.๑ (๒๕๕๑)
ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว เรียกว่า Sabor มีสมาชิก ๑๕๒ คน ประธานาธิบดีเป็นประมุข โดยมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
และเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐบาล มีวาระ ๕ ปี ปัจจุบัน คือ นาย Ivo Josipovic ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ มีนายกรัฐมนตรี คือ นาง Jadranka Kosor
รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลผสมเสียงข้างมาก ระหว่างพรรค Croatia Democratic Union และพรรค Democratic Centre มี ๙๑ เสียง จากทั้งหมด ๑๕๒ เสียง



การเมืองการปกครอง

การเมืองการปกครอง 
๑. โครเอเชียเดิมเป็นหนึ่งในหกสาธารณรัฐ ซึ่งประกอบขึ้นเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (Socialist Federal Republic of Yugoslavia หรือ SFRY) อยู่ภายใต้การนำของจอมพลติโต ชาวโครอัท ซึ่งสามารถควบคุมสถานการณ์ความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติไว้ได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ภายหลังการอสัญกรรมของจอมพลติโตในปี ๒๕๒๓ ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของสาธารณรัฐต่างๆ ในยูโกสลาเวียเริ่มมีความรุนแรงขึ้น โครเอเชียจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ๒๕๓๓ โดยประธานาธิบดี Franjo Tudjman ได้รับเลือกตั้ง และต่อมาได้ประกาศเอกราชจาก SFYR ซึ่งทำให้เกิดการสู้รบระหว่างโครเอเชียกับชาวเซิร์บในโครเอเชียซึ่งมียูโกสลาเวียหนุนหลัง และยุติลงเมื่อผู้นำโครเอเชีย เซอร์เบีย และบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพเดย์ตัน (Dayton Peace Accord) เมื่อปี ๒๕๓๘
๒. ภายหลังการอสัญกรรมของประธานาธิบดี Tudjman ในปี ๒๕๔๒ นาย Stjepan Mesic ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำเสรีนิยมประชาธิปไตยรุ่นใหม่ ทำให้โครเอเชียพัฒนา ไปอย่างมาก โดยได้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายและนโยบาย จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้เพื่อผนวกดินแดนบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา ซึ่งมีชาวโครอัทอาศัยอยู่จำนวนมาก เป็นการให้ความสำคัญกับการยุติความขัดแย้งกับบอสเนียฯ การปรับความสัมพันธ์กับประเทศยุโรปตะวันตก และการเข้าเป็นสมาชิก
สหภาพยุโรป ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๘ ประธานาธิบดี Stjepan Mesic ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ ๒ และจะดำรงตำแหน่งจนถึงปี ๒๕๕๓
๓. เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ โครเอเชียได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาทั่วประเทศ ผลปรากฏว่า พรรค Croatian Democratic Union (HDZ) ของนายกรัฐมนตรี Ivo Sanader ซึ่งได้ที่นั่งสูงสุด ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคต่างๆ และต่อมาในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๑ รัฐสภาโครเอเชียได้ลงมติให้ความ เห็นชอบต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่มีนาย Ivo Sanader เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี ๔ คน และรัฐมนตรี ๑๕ คน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ นาย Gordon Jandrokovic ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และเป็นดาวรุ่งของพรรค HDZ
๔. นโยบายของรัฐบาลสมัยที่สองของนาย Sanader ยังคงดำเนินนโยบายสายกลาง ค่อนไปทางอนุรักษ์นิยม ด้านการต่างประเทศ ส่งเสริมการมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา และมุ่งให้โครเอเชียเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) โดยหวังว่าจะสามารถบรรลุผลสำเร็จเข้าเป็นสมาชิก EU ได้ในปี ๒๕๕๒ สำหรับภาระสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมภายในประเทศ คือการพัฒนาที่รวดเร็ว ให้ความสนใจอย่างจริงจังต่อปัญหาสังคม ปฏิรูประบบศาลยุติธรรม และระบบบริหารให้มีความสมบูรณ์ และขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง
๕. เมื่อ ๑ ก.ค. ๒๕๕๒ นานยกรัฐมนตรี Sanader ประกาศลาออกจากตำแหน่งอย่างกระทันหัน สาเหตุ คาดว่ามาจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและความล่าช้าในการเข้าเป็นสมาชิก EU ของโครเอเชีย

นโยบายต่างประเทศ 
จุดมุ่งหมายของนโยบายต่างประเทศของโครเอเชียให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ดังนี้
๑. การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) รัฐบาลโครเอเชียเห็นว่า การเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปเป็นหัวใจสำคัญของสันติภาพที่มั่นคง เสรีภาพที่เป็นประชาธิปไตย และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ในยุคโลกาภิวัตน์ ทางที่ดีที่สุดที่ประเทศเล็กๆ อย่างโครเอเชียจะพัฒนา และดำรงความเจริญรุ่งเรืองไว้ได้โดยการรักษาผลประโยชน์ของชาติ คือการเข้าเป็นสมาชิก EU โดยคาดว่าจะเป็นสมาชิกภายในปี 2555 นอกจากนี้ เรื่องความมั่นคงเป็นประเด็นสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยใหม่ การเข้าเป็นสมาชิก NATO เป็นวิถีทางที่ดีที่สุดที่จะปกป้องความปลอดภัยของประเทศ
ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอด NATO ที่กรุงบูคาเรสต์ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๑ บรรดาผู้นำของประเทศพันธมิตร NATO ได้มีมติให้เชิญโครเอเชียให้เข้าร่วมเป็นประเทศพันธมิตร NATO ลำดับที่ ๒๘ ทันทีที่ขั้นตอนการสมัครเข้าเป็นพันธมิตรและกระบวนการให้สัตยาบันลุล่วง โดยเจ้าหน้าที่ของ NATO คาดว่า จะสามารถดำเนินการได้ภายใน ๑ ปี
๒ การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโครเอเชียและประเทศเพื่อนบ้าน
รัฐบาลโครเอเชียจะพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ให้ความเคารพต่ออธิปไตย เสรีภาพ ดินแดน และความเท่าเทียมซึ่งกันและกัน โดยแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาทางการเมืองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ โครเอเชียมีอาณาเขตติดต่อกับฮังการี บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา สาธารณรัฐเซอร์เบีย และสโลวีเนีย และมีปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนกับบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา และสาธารณรัฐเซอร์เบีย รวมทั้งความขัดแย้งเหนือน่านน้ำกับสโลวีเนีย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ความตึงเครียดดังกล่าวได้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากรัฐบาลโครเอเชียได้ดำเนินนโยบายเข้มงวดในการควบคุมการใช้น่านน้ำของโครเอเชียเหนือทะเลเอเดรียติก
๓ การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านทวิภาคีและพหุภาคี
รัฐบาลโครเอเชียต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองกับทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในโลกบนพื้นฐานของหลักการความเป็นอธิปไตยและความเท่าเทียมกัน สำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี โครเอเชียให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์การระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ของนโยบายต่างประเทศของโครเอเชีย และจะส่งเสริมบทบาทของประเทศในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ อาทิ EU องค์การ NATO สหประชาชาติ
๔ การส่งเสริมเศรษฐกิจของโครเอเชีย
รัฐบาลโครเอเชียมีแผนที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออก ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
๕. ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๑ เป็นต้นมา โครเอเชียได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีวาระ ๒ ปี โครเอเชียจะยึดถือและดำเนินการตามหลักการที่ระบุในนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสหภาพยุโรปที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง




เศรษฐกิจการค้า

เศรษฐกิจและสังคม
๑. ในบรรดาสาธารณรัฐที่อยู่ภายใต้สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย โครเอเชียมีสถานะทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี เป็นรองเพียงสโลวีเนีย เนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรมของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย รายได้ส่วนใหญ่ของโครเอเชียมาจากการท่องเที่ยว เนื่องจากภูมิประเทศเป็นชายฝั่งทะเลเอเดรียติกและมีหมู่เกาะที่สวยงาม ทำให้ในปัจจุบัน โครเอเชียจึงยังคงสภาวะเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศอดีตสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียส่วนใหญ่ นอกจากสโลวีเนีย ไว้ได้
๒. สำหรับนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้แก่ การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในทางเศรษฐกิจมากขึ้น ออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ โดยได้ประกาศนโยบายที่มุ่งสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค รักษาเสถียรภาพของค่าเงินสกุลคูน่า (Kuna) คงระดับอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ใช้มาตรการดึงดูดคู่ค้าและนักลงทุนมากขึ้น รวมถึงการเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
๓. รัฐบาลโครเอเชียยังมีโครงการสนับสนุนการลงทุนด้านท่าเรือ ซึ่งเป็นโครงการระยะยาว เนื่องจากเห็นว่า การลงทุนด้านนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโครเอเชีย ช่วยให้เกิดการขนส่ง การก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และธุรกิจบริการเกี่ยวกับบริษัทขนส่งสินค้าต่างๆ โดยรัฐบาลได้สนับสนุนเงินกู้จำนวนหนึ่งเพื่อสร้างถนนเชื่อมโยงกับเส้นทางของฮังการี ปรับปรุงทางรถไฟและสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งนี้ โครเอเชียมีชายฝั่งทะเลที่ยาวกว่า ๕,๐๐๐ กิโลเมตร และเต็มไปด้วยเกาะแก่งต่างๆ ถึง ๑,๑๘๕ เกาะ จึงมีความจำเป็นต้องจัดการคมนาคมขนส่งทางน้ำเพื่อเชื่อมโยงระหว่างกัน รวมทั้งดูแลชายฝั่งทะเลซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการก่อสร้างถนนหนทางภาคพื้นดินภายในประเทศเพื่อรองรับการคมนาคมทางน้ำ โครเอเชียมีท่าเรือ Rijeka ใช้ขนถ่ายและกระจายสินค้าได้ มีโครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่ง โดยเริ่มตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๙ ซึ่งจะเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกที่รวดเร็วที่สุดระหว่างเอเชียและยุโรปกลาง


สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศโครเอเชีย
ประวัติศาสตร์ประเทศโครเอเชีย
ประวัติศาสตร์ยุคก่อน

ประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล ชาว Indo-Eurupean หลายกลุ่มได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตลอดพื้นที่ราบ ชายฝั่งและบนเกาะต่างๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น อิสเทรียน ( Istrian) ลิเบอร์เนียน ( Libernian) ดัลมาเชีย ( Dalmatia) และ จาพอต ( Japod) ซึ่งขึ้นอยู่กับดินแดนที่ชนกลุ่มต่างๆมาอาศัยตั้งรกราก แต่โดยทั่วไปรู้จักดินแดนในแถบนี้ในนาม อิลลิเรียน ( Lllyrian) และเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเคลท์ ( Celt หรือ Kelt) อพยพจากยุโรปกลางมาค้นหาดินแดนใหม่ทางยุโรปตะวันตก ในขณะเดียวกันชาวกรีกก็ได้มาตั้งอาณานิคมบริเวณเกาะของแคว้นดัลมาเชีย อาทิเช่น เกาะ VIS และ Hrar เป็นต้น เมื่อ 229 ปีก่อนศริสตกาล ชาวโรมันได้เข้ามาสร้างเมืองและถนนหนทางในเมืองต่างๆของแคว้นอิสเทรีย ( Istria) ซึ่งปัจจุบันมีเมืองสำคัญที่เป็นเมืองเก่าของโรมันได้แก่ Porec , Rovinj และ Pula  คริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือต้นศตวรรษที่ 7 ชนเผ่าสลาฟ ( Slavic Tribe) ได้อพยพมาจากดินแดนทางตอนเหนือ ( ปัจจุบันคือประเทศโปแลนด์) เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในโครเอเชียและเมืองเก่าของโรมันที่แคว้นดัลมาเชียและแคว้น Pannonian Croatia ครอบคลุมไปจนถึงดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 
ค.ศ 925 แคว้นทั้งสองนี้ได้รวมตัวเป็นอาณาจักรเดียวกัน โดยมี เจ้าชายโทมิสลาฟ ( Tomislav ค.ศ 7-928 ) ขึ้นสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของ ราชอาณาจักรโครแอ็ท ( Kingdom of Croats) ค.ศ 1102 ตกเป็นส่วนหนึ่งของฮังการี 
ค.ศ 1242 ชนเผ่าตาร์ด ( Tartar) หรือพวกมองโกลได้บุกเข้ามาโจมตียุโรปรวมทั้งโครเอเชียด้วย  คริสต์ศตวรรษที่ 15 ชนเผ่าเติร์ก ( Turks )ก็ได้บุกเข้ามาในคาบสมุทรบอลข่าน และ บุกเข้ายึดดินแดนของโครเอเชียใต้ ชาวโครเอเชียเหนือก็หันไปขอความคุ้มครองจากอาณาจักรออสเตรียน แห่งราชวงศ์ฮับสบูร์ก ( Habsburg)ซึ่งต่อมาอาณาจักรออสเตรียนก็ได้รวมฮังการีไว้ในอำนาจด้วย กลายเป็น จักรวรรดิ ออสโตร –ฮังกาเรียน ( Austro -Hungarian)  แต่ดินแดนทางภาคใต้ของโครเอเชีย ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรเวนิส ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 15 จนถึงปลายศตวรรษที่ 17 ต่อมาเมื่อนโปเลียนแห่งฝรั่งเศสได้บุกเข้ายึดอิตาลีดินแดนของโครเอเชียที่เคยเป็นอาณาจักรเวนนิสมาก่อนก็เป็นของฝรั่งเศสด้วย ประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน เมื่ออาณาจักรออสโตร-ฮังกาเรียน ประสบกับความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โครเอเชียก็รวมตัวกับเพื่อนบ้าน เป็นประเทศเกิดใหม่มีชื่อว่า Kingdom of Serbs, Craats and Slovenes ต่อมาเรียกว่า ประเทศยูโกสลาเวีย ในปี ค.ศ 1929  โดยเลือก กรุงเบลเกรด ( Belgrade) ป็นเมืองหลวงของอาณาจักรสร้างความโกรธแค้นให้แก่ชนชาติโครแอ็ทเป็นอย่างมากเพราะอำนาจในการปกครองตกอยู่กับขุนนางเซอร์เบีย
ค.ศ 1941 กองทัพนาซีของเยอรมันได้บุกยึดโครเอเชียและแต่งตั้งรัฐบาลหุ่นฟาสซิสต์ โดยมี อุสตาเช่ ( Ustashe) สร้างแผนการชำระล้างเผ่าพันธุ์ ( Pattern for ethnic cleansing) โดยทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชางเซิร์บชาวยิว และชาวโรมันไปกว่า 350,000 คน แผนการนี้ไม่ได้ทำให้ชาวโครแอ็ททั้งหมดเห็นชอบด้วย ดังนั้นหลายคนจึงไปเข้ารวมกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อทำการโค่นอุสตาเช่ ต่อมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงในค.ศ 1944 ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตในโครเอเชียและบอสเนีย –เฮอร์เซโกวิน่ามากถึงราว 1,000,000 คน 
ค.ศ 1945 นายพลติโต้ ( Tito )หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ของยูโกสลาเวียมีชัยชนะเหนือนาซี ได้รวม 6 รัฐ คือ เซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวีเนีย มาซิโดเนีย บอสเนีย และ มอนเตเนโกร เข้าเป็น ประเทศยูโกสลาเวียโดยใช้กรุงเบลเกรด เมืองหลวงของรัฐเซอร์เบียเป็นเมืองหลวงของประเทศ มีรูปแบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐ ( Confederation ) 
 ค.ศ 1980 นายพลติโต้ได้ถึงแก่อสัญกรรม ยูโกสลาเวียก็เริ่มวุ่นวาย ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 เริ่มมีแรงกดดันอย่างหนักต่อมาชาวอัลบาเนียที่อาศัยอยู่ในจังหวัด Kosovo และต่อมารัฐบาลคอมมิวนิสต์ทั่วยุโรปตะวันออกก็ต้องล่มสลายลงไปทั้งหมดตามรัสเชีย
ค.ศ 1990 ชาวโครแอ็ท ชื่อ Franjo Tudjman แห่งสหภาพประชาธิปประไตยโครเอเชียได้ชนะการเลือกตั้งมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาปกครองประเทศรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลให้ชางเซิร์บในโครเอเชียเป็นคนกลุ่มน้อยของประเทศ  เดือนมิถุนายน 
ค.ศ 1991 โครเอเชียก็ประกาศแยกตัวเป็นประเทศเอกราชออกจากสหภาพยูโกสลาเวียแต่ชาวเซิร์บที่อาศัยอยู่ในโครเอเชียมีมากถึง1 ใน 3 ของประชากร โครเอเชียไม่ยอมและขอร้องให้รัฐบาลกลางที่กรุงเบลเกรดส่งทหารมาช่วยสงคราม กลางเมืองในโครเอเชียจึงเกิดขึ้น พื้นที่โครเอเชียประมาณ 3 ใน 4 ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหภาพ  เดือนตุลาคม 
ค.ศ 1991 กองทัพยูโกสลาเวียก็ได้ทิ้งระเบิดทำเนียบประธานาธิบดีโครเอเชียที่กรุงซาเกรบและบุกเข้ายึดเมือง Dubrovnikทำให้สหภาพยุโรป (EU) ต้องเข้ามา Sanction รัฐบาลเซอร์เบีย ภายในระยะเวลา 6 เดือนที่เกิดสงครามกลางเมืองมีประชาชนล้มตายถึง 10,000 คน มีผู้อพยพหนีภัย100,000 คน และบ้านเรือนถูกทำลายไปมากกว่า 10,000 หลัง  
เดือนธันวาคม ค.ศ 1991 หลังจากการเจรจาหยุดยิงไม่สำเร็จ องค์การสหประชาชาติได้ส่งกองกำลังเข้าไปคุ้มครองดินแดนที่กองทัพเซอร์เบียยึดไว้ ในที่สุดกองทัพเซอร์เบียก็ยอมถอนกำลังออกจากโครเอเชีย
เดือนพฤษภาคม ค.ศ 1992 โครเอเชียอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากสหประชาชาติ แต่ก็ยังมีการลักลอกโจมตีต่อสู้กันอยู่ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปี
เดือนธันวาคม ค.ศ 1995 สงครามได้ยุติลงด้วยสนธิสัญา Danton โครเอเชียกลับคืนสู่ความสุขอีกครั้ง

เมืองและสถานที่ท่องเที่ยวในโครเอเชีย
ซาเกร็บ (Zagreb)  
         
ซาเกร็บ (Zagreb) เป็นเมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ในปี พ.ศ. 2548 เมืองนี้มีจำนวนประชากร 973,667 คน  ในบริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา (Medvednica) กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา (Sava) มีความสูงของพื้นที่ 120 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมของเมืองนี้คือ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำซาวา (Sava) และบริเวณไหล่เขาเมดเวดนีตซา (Medvednica) ทำให้สามารถติดต่อและคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดี
เมืองซาเกร็บเป็นศูนย์กลางการขนส่ง อุตสาหกรรม และสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเมืองนี้ เป็นพื้นฐานที่ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ซาเกร็บยังเป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย เมืองหลวงแห่งนี้ถือว่าเป็นเมืองที่มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมและสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตรมากมาย และยังถือว่าเป็นหัวใจของการปกครอง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศโครเอเชียอีกด้วย

กรุงซาเกรบ ( Zagreb) เมืองหลวงของโครเอเชีย ตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่งดงาม ตัวเมืองตั้งอยู่บนไหล่เขา ลาดลงสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำซาวา ( Sava ) ทางใต้ ซาเกรบเป็นผู้นำด้านศิลปวัฒนธรรมและบทบาททางการเมืองมาตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษ ทั้งนี้เพราะงานด้านศิลปวัฒนธรรมได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของชาวเมือง ทำให้กรุงซาเกรบมีจำนวนสถาบันทางวัฒนธรรมมากกว่าเมืองใดๆในโลกถ้าหากจะคิดเฉลี่ยต่อตารางพื้นที่ประวัติศาสตร์  ในสมัยกลางมีการก่อตั้งชุมชนบนเนินเขา ที่ประกอบไปด้วยเมืองเล็กๆ 2 เมือง คือ เมือง Kaptol ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางศาสนามีพระบิชอบ ( Bishop) เป็นผู้ปกครองเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ 1094 ส่วน  เมือง Gradec เป็นเมืองที่ปกครองโดยพลเรือน ตั้งแต่ศคตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรฮังกาเรียนได้แต่งตั้งตำแหน่งผู้ว่าโครเอเชีย ( Governor of  Croatia ) มีการจัดตั้งรัฐสภาโครแอ็ท เป็นสภาบริหารเมืองโดยกลุ่มขุนนางชาวโครแอ็ท เมืองทั้งสองได้รวมตัวเข้าด้วยกัน มีการสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการ ประตูเมือง และคูน้ำ เพื่อป้องกันเมืองแต่มีแม่น้ำ Medvescak เป็นเส้นแบ่งเขตเมืองทั้งสอง และที่แม่น้ำนี้มักจะมีเหตุการณ์รุนแรงที่ทำให้เกิดการปะทะอยู่เสมอระหว่าง เมือง Gradec และ เมือง Kaptolเหตุการณ์ที่รุนแรงถึงขั้นนองเลือดในครั้งนั้นเรียกว่า สะพานเลือด ( The Bridge Of Blood ) 
ตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 พวกเติร์ก ( Turks ) ได้ยกกองทัพมาล้อมเมือง แต่ไม่สามารถตีเมืองได้ ต่อมาเมืองทั้งสองได้เข้าสู่สภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ทำให้ทั้งสองเมืองต้องรวมตัวเป็นเมืองใหม่ในชื่อ ซาเกรบ ( Zagreb) กรุงซาเกรบ แบ่งออกเป็น 2 เขตใหญ่ๆ คือ เขตเมืองเก่าสมัยกลาง ซึ่งตั้งอยู่เนินเขาเรียกว่า The Upper Town ส่วน เมืองที่ทันสมัย ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่บนที่ราบริมแม่น้ำซาวา เรียกว่า The Lower Town ระหว่างเขตเมืองเก่ากับเมืองใหม่ที่ลานจัตุรัสขนาดใหญ่กั้นอยู่ เรียกว่าจัตุรัส Josip Jeelascic Trg เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐโครเอเชียสมัยศตวรรษที่ 19  เป็นผู้นำทัพโครเอเชียทำสงครามกับฮังการี ที่สำคัญอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นโดยฝีมือของประติมากรเอกชางโคแอ็ท Ivan Mestrovic 
เขตเมืองเก่า ( The Upper Town ) เป็นสถานที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครอง การเมือฝ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ บนเนินเขาแห่งนี้จึงประกอบด้วย ทำเนียบประธานาธิบดี อาคารรัฐสภา โบสถ์วิหารที่เก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง อาคาพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งป้อมปราการและประตูเมือง 
เขตเมืองใหม่ ( The Lower Town) เป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในศตวรรษที่ 19 หลังปี ค.ศ 1830 ณ บริเวณถนนที่ล้อมรอบด้วยสวนรูปเกือกม้า ที่รู้จักกันในชื่อ The Green Horseshoe บริเวณนี้เป็นเมืองที่ได้รับการออกแบบผังเมืองที่ได้รับการออกแบบผังเมืองและอาคารต่างๆ ที่เน้นความสวยงามด้านภูมิทัศน์ และรูปแบบของอาคารที่สง่างามด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรม Neo-classic , Neo-gothic และ Neo-Renaissance 
 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ในซาเกร็บ

มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral)
  มหาวิหารเซนต์สตีเฟน st. stephen's Cathedral มหาวิหารเซนต์สตีเฟน st. stephen's Cathedral
มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral) ซึ่งมียอดแหลมทรงกรวยคู่บนยอดวิหารตกแต่งอย่างงดงาม สามารถเห็นได้จากทุกมุมในซาเกรบ แต่เดิมเป็นโบสถ์ธรรมดาแต่เพิ่มสำคัญในปี ค.ศ. 1094 เมื่อกษัตริย์ ลาดีสลาอุส (King Ladislaus) ได้ให้พระราชาคณะย้ายที่พำนักจากสีสัก (Sisak) มายังซาเกรบ แต่ก็ถูกกองทัพมองโกลทำลายในปี ค.ศ. 1242 เมื่อมองโกล จากไป โบสถ์นี้ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่ และ ขยับขยาย ในอีกหลายครั้งต่อมา รูปร่างมหาวิหารที่งดงามในรูปแบบนิโอ กอธิคที่เห็นในปัจจุบัน เป็นการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1880  ซึ่งถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรในประเทศโครเอเชียอีกด้วย
 โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre)
โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre) โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre)
โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย โดยโรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของเมืองซาเกร็บ โดยสร้างขึ้นในปี 1895 โดยรูปแบบของอาคารนั้นสร้างขึ้นในสไตล์นีโอบาร็อค มีลักษณะเป็นรูปตัว U และรายรอบไปด้วยสวนสาธารณะจนได้รับสมญานามว่า “The Green Horse shoe”
มหาวิหารเซนต์มาร์ค
มหาวิหารเซนต์มาร์ค  มหาวิหารเซนต์มาร์ค
มหาวิหารเซนต์มาร์คซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าซาเกรบ สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 13 หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีต่างๆ ซึ่งเป็นรูปตราสัญลักษณ์ของซาเกรบ โครเอเชีย สโลเวเนีย และ ดาลมาเชีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในประเทศเดียวกัน (ยูโกสลาเวีย), ผ่านอาคารรัฐสภา และผ่านห้องแสดงงานศิลปะ  แมชโทรวิช ซึ่งเป็นช่างปั้นมือหนึ่งของศตวรรษที่ 20

 แคว้นดัลมาเชีย เป็นเขตที่มีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญมากมาย โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเช่ ( The Plitvice Lake National Park ) เมืองสปลิท (Split) และ เมืองดูบรอพนิค ( Dubrovnik) 
 
 เมืองแห่งแคว้น Istria & Kvarner ระหว่างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติและความงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่รายล้อมด้วยป่าเขาสลับทุ่งหญ้า ฟาร์มการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์
อุทยานแห่งชาติพลิทวิเซ่ เจเซร่า อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ่ ได้รับการยกย่องให้เป็นอุทยานแห่งชาติทั้ง 8 แห่ง และเป็นอุทยานแห่งแรกของประเทศ ที่รัฐสภาโครเอเชียได้ผ่านกฎหมายเพื่อให้มีการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่าของโครเอเชีย  เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ  1949 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ 1979  ตั้งอยู่ตอนกลางประเทศติดกับเขตดินแดนของประเทส บอสเนีย – เฮอร์เซโกวินา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กึ่งกลางระหว่างเส้นทางไปกรุงซาเกรบกับเมืองซาดาร์ (Zadar) ในเขตดัลมาเชีย อยู่ในเขตที่ราบสูง Mala Kapela กับที่ราบสูง Pijesevica ครอบคลุมพื้นที่ 300 ตารางกิโลเมตรที่เต็มไปด้วยเนินเขา ป่าไม้และลำธารที่ล้อมรอบทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ 16 แห่ง ทะเลสาบเหล่านี้เชือมต่อกันด้วยธารน้ำตกและโขดหินที่ลดหลั่นต่อเนื่องกันลงมาเป็นทอดๆมีสะพานไม้เป็นทางเท้าให้เดินลัดเลาะชมธรรมชาติอันงดงามของทะเลสาบ ลำธาร เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร ยังมีข้อเขียนที่กล่าวถึงทะเลสาบพลิตวิเซ่ที่ปรากฎเป็นครั้งแรกเขียนโดย Dominik Vukasovic เมื่อปี ค.ศ 1777 โดยเขียนไว้ว่า มีทะเลที่สวยงามมาก 5 แห่งอยู่ในป่าลึกบริเวณเขตแดนของพวกเติร์กโดยเขาเป็นผู้ขนานนามป่าแห่งนี้ว่า สวนของปีศาจ ( The Devil’s Garden ) ทั้งนี้คงเป็นเพราะการเดินทางเข้าไปคงยากลำบากมากที่จะมีชีวิตกลับออกมาจากป่าแห่งนี้ได้   นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าทะเลสาบพลิตวิเซ่เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปี่มาแล้ว เมื่อโลกยังอยู่ในช่วงยุคน้ำแข็งตอนปลาย (  The Lasrt inter-glacial period) น้ำแข็งบางส่วนที่ละลายได้ไหลซึมผ่านชั้นหินใต้ดินไปจนถึงชั้นหินปูน น้ำที่ซึมผ่านชั้นดินเหนียวและทรายจนกระทั่งซึมต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเกิดแรงดันพุ่งขึ้นสู่ผิวชั้นบนกลายเป็นบ่อน้ำพู ต่อมากลายเป็นแม่น้ำที่เรียกกันว่า Black River ( Crna Rijeka) และ white River  ( Bijela Rijeka) เมื่อไหล่มารวมกันในบริเวณที่มากขึ้นเรื่อยๆก็จะล้นทะลักไหลออกไปตามซอกเขา หุบเหว และ ช่องเขาดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันวนอุทยานแห่งชาติ ทะเลสาบพลิตวิเซ (Plitvice Lakes National Parks) ซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำภูเขามาลา คาเปลา (Mala Kapela) ไหลผ่านหินปูนหลายพันปี ทำให้หินปูนที่ ถูกกัดเซาะไหลไปกองรวมกันเป็นระยะ เกิดเป็นเขื่อนธรรมชาติ มีความสูงลดหลั่นกันลงไปทั้งสิ้น 16 แห่ง หมายความว่าจะมีน้ำตก 16 แห่งไหลไปรวมกันเป็นทะเลสาบใหญ่ ตัวน้ำตกแบ่งเป็น 2 ระดับ น้ำตกที่สูงที่สุดมีความสูง 639 เมตร ที่ต่ำสุดมีความสูง 503 เมตร น้ำตกด้าน บนจะถูกล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ซึ่งมีความหนาแน่นสูง มีถ้ำ 20 แห่งใต้หินปูนเหล่านี้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายาก และ มีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ (หิมะจะตกในเดือน พฤศจิกายน ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งใน เดือน ธ.ค. และ ม.ค.)  ทะเลสาบ Kozjak เป็นทะเลสาบ ที่ใหญ่ที่สุดในอุทยาน ชมความงามของอุทยานตอนล่างและชมความงดงามของ Big Waterfalls สัมผัสถึงบรรยากาศของสายน้ำอันชื่นฉ่ำ บนพื้นน้ำสีคราม และเกาะแก่งในทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสนและเฟอร์ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
เกาะบราช  ฺBrac Island
Brac Island เกาะบราช เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกเกาะของโครเอเชีย มีความยาว 48 กิโลเมตร กว้าง 14 กิโลเมตร ทำให้บราชเป็นเกาะขนาดใหญที่สุดในเขต  Central Dalmatia ของโครเอเชีย มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 18,324 คน มียอดเขา Vitus ที่มีความสูงถึง 778 เมตร ทำให้ยอดเขาแห่งนี้ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะทั้งหมดของประเทศ อีกทั้งบนเกาะยังมีหิน Limestone ที่มีคุณภาพดีที่สุด โดยนำไปก่อสร้างทำเนียบขาว ที่สหัฐอเมริกา และรัฐสภาที่บูดาเปสท์ เป็นต้น
ลักษณะพื้นที่แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
ทะเลสาบตอนบน ( The Upper Lakes ) จะอยู่ในบริเวณหุบเขาสูงทางตอนใต้ของเขตอุทยานซึ่งจะประกอบไปด้วยทะเสสาบขนาดต่างๆเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามระดับความสูงของภูมิประเทศ ที่อยู่สูงสุดได้แก่ทะเลสาบ Prosce หรือ Proscansko  อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 636.6 เมตร มีความยาว 2 กิโลเมตร ลึกมากที่สุด 37.4 เมตร ทะเลสาบ kosjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้มีความยาวถึง 3 กิโลเมตร กว้าง 135 เมตร มีเกาะ รูปไข่อยู่ตรงกลาง มีชื่อว่า Stefanija Island ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงออสเตรีย เมื่อครั้งเสด็จประพาสอุทยานนี้ในปี ค.ศ 1888 
ทะเลสาบตอนล่าง ( The Lower Lakes ) บริเวณปลายสุดของทะเลสาบโคสแจ็ก ( Kosjak) จะมีเขื่อนกั้นน้ำแยกทะเลสาบตอนบนและตอนล่างออกจากกัน น้ำทะเลสาบโคสแจ็กจะไหลผ่านเขื่อนไหลลงสู่หุบเขาเบื้องล่างที่ลดระดับต่ำลงไป ณ ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทะเลสาบตอนล่าง มีชื่อว่า Lake Milanovac ซึ่งมีพื้นที่ขนาด 500 เมตร x  90 เมตร ต่ำกว่าทะเลสาบโคสแจ็ก ลงมา 11 เมตร มีความลึก 18.4 เมตร แต่สีน้ำในทะเลสาบด้านล่างนี้จะมีสีแตกต่างจากทะเลสาบตอนบนอย่างชัดเจน น้ำที่นี่จะมีสีเขียวอมฟ้า ทะเลสาบด้านล่างจะมีหุบเขาและมีถ้ำหินปูนเป็นจำนวนมากถึง 20 ถ้ำ
 ซาดาร์  (Zadar) เมืองใหญ่ของเขตดัลมาเชียตอนเหนือ มีประชากรประมาณ 70,000 คน ตั้งอยู่บนแหลมแคบๆ กว้างเพียง 500 เมตร ยาว 4 กิโลเมตร แยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่โดยมีช่องแคบ Zadarshi กั้นไว้ทางทิศตะวันตก เขตเมืองเก่าตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของแหลม เป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยโรมัน ที่มีถนนหินอ่อน ซากเมืองเก่าโรมัน โบสถ์สมัยกลาง พิพิธภัณฑ์ป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 16 และกำแพงเมืองที่สูงใหญ่ยาวตลอดแนวชายฝั่งทะเล เมื่อประมาณ 900 ปีก่อคริสตกาล ชาวกรีก Lllyrian ได้อาศัยอยู่ที่เมืองซาดาร์มาก่อน ต่อมาตอนปลายศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล โรมันก็เข้ามาปกครองเมือง มีการสร้างถนนและสร้างเมืองตามรูปแบบของโรมัน มีการตัดถนนสร้าง Forun และ Roman Bath เป็นเมืองท่าที่สำคัญ การค้าไม้ซุง และไวน์ เป็นสินค้าส่งออก ต่อมาเมื่ออาณาจักรโรมันแยกเป็นสองอาณาจักร ซาดาร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเมืองหลวงของแคว้นไบแซนไทน์ดัลมาเย (The Capital of Byzantine Dalmatia) และเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญของอาณาจักรไบแซนไทน์ ต่อมาก็อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโครแอ็ท-ฮังกาเรียน
 ซีบีนิค (Sibenik) เขตดัลมาเชียตรงกลาง เป็นเมืองขนาดเล็กที่มีประชากรเพียง 51,553 คน (สำรวจปี ค.ศ 2001) เป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์งดงาม เขตเมืองเก่าตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งทำเป็น ย่านถนนคนเดิน ( Pedestrian Area) มีมหาวิหารและโบสถ์โบราณหลายแห่งที่น่าชมบริเวณที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองคือ ถนน Zagrebacka Ulica และถนนด้านทิศเหนือ มหาวิหารที่โดดเด่นสง่างาม และเป็นวิหารแห่งเดียวในโลกที่สร้างด้วยหินทั้งหลังโดยไม่มีวัสดุอื่นใดประกอบ จึงได้รับการการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี ค.ศ 1997
สปลิท (Spit) เมืองใหญ่อันดับสองรองลงจากกรุงซาเกรบ มีประชากรราว 265,000 บาท ตัวเมืองตั้งอยู่ใจกลางเขตชายฝั่งดัลมาเชีย สิ่งที่เป็นมนต์ขลังเสริมสร้างเสน่ห์ให้แก่เมืองสปลิทมากกว่าสิ่งใดๆ คือ พระราชวังดิโอคลีเทียน ( Diocletian’s Palace) วังจักรพรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่และเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า จักรพรรดิโรมันดิโอคลีเทียน ( Diocletian , ค.ศ 245 -313) ได้มาสร้างพระราชวังของพระองค์ไว้ที่เมืองนี้ในปี ค.ศ 295-305 หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วพระราชวังหินขนาดใหญ่แห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นทำเนียบผู้ว่าการมณฑลของโรมัน ครั้นต่อมาในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่5 อาณาจักรโรมันตะวันตกเลื่อมอำนาจลง พระราชวังก็ถูกทิ้งร้าง เมื่อปี ค.๕ 614 ชาวเมือง Salona ซึ่งเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิโรมันได้ถูกพวก Avars บุกโจมตี ชาวเมือง Salona ต้องอพยพ หนีภัยสงครามมาพักอาศัยอยู่ที่เขตกำแพงพระราชวังเมืองสปลิท ทุกวันยังคงมีเครือญาติอาศัยสือทอดกันมา นอกจากผู้อพยพจากต่างเมืองแล้ว ผู้นำทางศาสนาของเมืองสปลิท ในสมัยกลางก็ได้เข้ามาใช้อาคารสำคัญภายในพระราชวัง เพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นศาสนสถานของชาวคริสต์ หลังจากที่เมืองสปลิท อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรไบแซนไทน์ เป็นเวลาสองศตวรรษ ก็ได้มีการตั้งชุมชนโครแอ็ทขึ้นมาปกครองตนเอง ทำให้ชาวเมืองมีความพึงพอใจที่เป็นอิสระค.ศ 1420 เมื่ออาณาจักรเวนิส ได้เข้ามายึดครองเมืองสปลิท ทำให้ต้องสร้างกำแพงเมืองและป้อมเป็นพระราชวังสมัยโรมันที่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ยังคงเหลือมาจนทุกวันนี้และใหญที่สุด มีความกว้าง 181 เมตร ยาว 215 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 31,000 ตารางเมตร มีกำแพงล้อมรอบ ทั้ง 4 ด้าน และมีป้อมปราการทั้ง 4 มุม มีประตูอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองทั้ง 4 ด้าน กำแพง กำแพงส่วนที่สูงวัดได้ 26 เมตร สร้างในลักษณะของวังที่ประทับและมีค่ายทหารประจำการพระราชวังสร้างด้วยหินดัลมาเชีย คุณภาพเยี่ยมจากเกาะ Brac เป็นหินสีขาวผิวมันวาวเนื้อละเอียด องค์การยูเนสโก้ จึงได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ภายในเขตกำแพงพระราชวัง ยังมีบ้านเรือนของประชาชนมากกว่า 220 หลัง มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 3,000 คน และยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟเปิดดำเนินธุรกิจกับนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทำให้พราราชวังแห่งนี้ไม่สามารถทำเป็นพิพิธภันฑ์ได้ เมื่อเดินเข้าไปจะพบลานจัตุรัสภายในวังที่เรียกว่า Peristyle ปัจจุบันกลายเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวและจุดพักทานกาแฟ Peristyle เป็นลานกว้างขนาด 35 เมตร X 13 เมตร มีระเบียงเสาล้อมรอบทั้ง 3 ด้าน เป็นประตูเข้าสู่เขตราชสำนักชั้นในอย่างเป็นพิธีการ และจะลดระดับลงไป 3 ขั้น จากระดับพื้นทั่วไป
โทรเกียร์ (Trogir) ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆนอกชายฝั่งดัลมาเชียตอนกลาง เป็นเมืองโบราณที่เต็มไปด้วยอาคาสถาปัตยกรรมและโบราณสถานที่ล้ำค่าและสง่างามทำให้โทรเกียร์ได้รับยกย่องให้เป็นอัญมณีเม็ดงามประดับชายฝั่งทะเลอะเดรียติก จนทำให้เกาะเล็กๆแห่งนี้ได้รับสมญานามว่า The Stone Beauty องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ 1997 ก่อตั้งขึ้นโดยชาวกรีกแห่งเมือง Issa ( ปัจจุบัน คือเกาะ VIS ) ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองโทรเกียร์เป็นพวกแรกในช่วง 380 ปีก่อนศริสตกาล ภายใต้ชื่อเมืองว่า Tragurion ( Island of goats ) ต่อมาโรมันได้เข้ามาครอบครองและเรียกชื่อเมืองเป็นภาษาละตินว่า Tragurium 
ดูบรอพนิค ( Dubrovnik) ตั้งอยู่ในเขตดัลมาเชียตอนใต้สุดของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองโบราณที่มีกำแพงเมืองและป้อมปราการล้อมรอบที่งดงามโดดเด่นอยู่ริมชายฝั่งทะเลอะเดรียติก และยังคงสภาพของเมืองสมัยเรอเนสซองส์ คริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ไว้ได้อย่างดีเยี่ยมจึงได้ชื่อเป็น เมืองโบราณสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมดังที่ George Bernard Shaw นักประพันธ์ชื่อดังของโลกได้กล่าวว่า Those who seek paradise on earth should come to Dubrovnik 
เมื่อศริสต์ศตวรรษที่ 7 ได้มีกลุ่มชนที่อพยพลี้ภัยมาจากเมืองเก่าของโรมันที่ชื่อ Epidauram ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองแคฟทัท ( Cavtat) ในปัจจุบันนี้ชนกลุ่มนี้ได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เกาะ Laus ที่เต็มไปด้วยโขดหินในขณะที่ฝั่งตรงมีชาวสลาฟ (Slavs) อาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วย ป่าไม้โอ๊ค ( Oak woods) จึงเรียกเมืองนี้ว่า Dubrovnik ซึ่งมาจากคำว่า Dubrava แปลว่าไม้โอ๊ค เมืองทั้งสองมีร่องน้ำแคบๆกั้นกลางเพื่อความสะดวกในการติดต่อระหว่างเมืองทั้งสองในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ได้มีการถมร่องน้ำ ทำให้ชุมชนทั้งสองเชื่องเป็นเมืองเดียวกัน และร่องน้ำที่ถมนี้ปัจจุบันก็คือ ถนน Placa หรือ ถนน Stradun ถนนที่กว้างใหญ่และสง่างามที่สุดของเขตเมืองเก่าดูบรอพนิคในขณะเดียวกันก็เริ่มก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการ เพื่อป้องกันศัตรูจากภายนอกที่มักลอบเข้ามาโจมตีเมืองอยู่เสมอ ได้แก่พวกแขกซาราเซ็น มาซิโดเนีย เซิร์บ และอาณาจักรเวนิส
ในปลายปีศตวรรษที่ 12 ดูบรอพนิคเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญบนชายฝั่งทะเลอะเดรยติกตอนใต้ ค.ศ 1205-1358 ดูบรอพนิคอยู่ภายใต้การปกครองเวนิส
ค.ศ 1358 ก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฮังกาเรียน-โครเอเชีย ( Hungarian-Groatian Kingdom) แต่ได้รับอิสระให้สามารถปกครองตนเองได้ แต่ต้องจัดส่งบรรณาการให้แก่กษัตริย์ฮังการี
ค.ศ 1806 ดูบรอพนิคก็ตกอยู่ภายใต้ปกครองของฝรั่งเศสยุคนโปเลียน
ค.ศ 1815 – 1918 ก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร Austro – Hungaria

NEXT>>HUNGARY

ข้อมูลอ้างอิง 

นวลฉวี สุธรรมวงศ์ โครเอเชีย เมืองมรดกโลกแสนงามริมฝั่ง ทะเลอาเดรียติค ; หนังสือ Travel Guide Magazine

http://www.mfa.go.th/main/th/world/74/10418-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2.html